Last updated: 13 พ.ย. 2568 | 10 จำนวนผู้เข้าชม |
โดยทั่วไปแล้ว ระบบการเร่งรอบเครื่องยนต์ของเครื่องปั่นไฟ (Governor System) สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระบบหลัก ดังนี้
1. ระบบแมคคานิค (Mechanical Governor)
ลักษณะการทำงาน
ใช้แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง (Centrifugal Force) ควบคุมรอบเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติ หากรอบตก ตัวถ่วงเหวี่ยงจะดึงคันเร่งเพื่อเพิ่มรอบให้กลับมาคงที่
ข้อดี
-โครงสร้างง่าย ไม่ซับซ้อน
-ทนทาน ใช้งานได้นาน
-ไม่ต้องใช้ระบบไฟฟ้าควบคุม
-ค่าซ่อมบำรุงไม่แพง
ข้อเสีย
-ควบคุมรอบได้ไม่แม่นยำมาก
-เมื่อโหลดขึ้นเร็วอาจมีอาการรอบเหวี่ยงหรือแกว่ง
-ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการแรงดันไฟนิ่ง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
2. ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Governor)
ลักษณะการทำงาน
ใช้เซนเซอร์ตรวจวัดรอบเครื่องยนต์ส่งสัญญาณไปยังกล่องควบคุม (ECU) เพื่อสั่งให้เซอร์โวมอเตอร์หรือโซลินอยด์ปรับคันเร่งแบบแม่นยำ
ข้อดี
-รักษารอบเครื่องได้คงที่มาก
-รองรับโหลดเพิ่ม–ลดได้ราบรื่น
-เหมาะกับงานที่ต้องการไฟฟ้านิ่ง เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องมือแพทย์
-ประหยัดเชื้อเพลิงกว่าแบบแมคคานิค
ข้อเสีย
-โครงสร้างซับซ้อน ซ่อมยากกว่าระบบแมคคานิค
-ราคาแพง
-หากกล่องควบคุมเสียต้องเปลี่ยนทั้งชุด
3. ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter Engine Speed Control)
ลักษณะการทำงาน
เครื่องยนต์ไม่จำเป็นต้องหมุนที่รอบคงที่ แต่ปล่อยรอบตามภาระโหลด แล้วระบบ Inverter จะปรับความถี่และแรงดันให้คงที่และนิ่งมาก
ข้อดี
-ให้ไฟฟ้าคุณภาพสูงที่สุด (คลีนและนิ่ง)
-ประหยัดเชื้อเพลิงมาก เพราะรอบเครื่องปรับตามโหลด
-เสียงเงียบ เหมาะกับงานบ้าน ร้านค้า หรือกิจกรรมกลางแจ้ง
-ปลอดภัยต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด
ข้อเสีย
-ราคาสูงที่สุดในทั้งสามระบบ
-หากบอร์ดอินเวอร์เตอร์เสีย ค่าซ่อมแพงมาก
-ไม่เหมาะกับงานโหลดหนักต่อเนื่อง เช่น โรงงาน
สรุปแบบเข้าใจง่าย
ระบบ ความนิ่งของรอบ ความทนทาน ราคา เหมาะกับงาน
แมคคานิค ปานกลาง สูง ถูก งานทั่วไป เครื่องมือไฟฟ้า
อิเล็กทรอนิกส์ สูง ปานกลาง ปานกลาง–สูง งานที่ต้องการแรงดันไฟนิ่ง
อินเวอร์เตอร์ สูงมาก ปานกลาง สูงที่สุด อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด งานที่ต้องการไฟสะอาด
24 ต.ค. 2568